2.การแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างกัน
ไทยกับฝรั่งเศสเริ่มมีความสัมพันธ์ระหว่างกันตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ในรัชสมัยของสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช และพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔
ซึ่งได้ส่งราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามเมื่อปี ๒๒๒๘ ต่อมา ราชทูตสยาม
(โกษาปาน) ได้เดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ณ พระราชวังแวร์ซายส์ เมื่อปี
๒๒๒๙ ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์
ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับฝรั่งเศสได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
โดยได้มีการลงนาม อ่านเพิ่มเติม
วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558
บบที่8 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
1. การประสานประโยชน์
2. การประสานประโยชน์
หมายถึง การร่วมมือกันเพื่อรักษาและปกป้อง ผลประโยชน์ของตนและเป็นการระงับกรณี
ความขัดแย้งที่มาจากการแข่งขันทางการเมอง และเศรษฐกิจทางต่างประเทศ
3. องค์การสันนิบาตชาติ
(League of Nations) หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1
ประธานาธิบดีวูดโรว์วิลสัน แห่ง สหรัฐอเมริกา ได้เสนอให้ก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติขึ้น
เพื่อเป็นองค์การ กลางที่จะใช้แก้ปัญหากรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธี
ได้มีการ ประชุมครั้งแรก ณ นครเจนิวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
4. สมาชิกภาพ ประเทศที่เป็นฝ่ายชนะในสงครามโลกครั้งที่
1 ทุกประเทศได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญา สันติภาพ
เป็นสมาชิกขององค์การสันนิบาต ชาติโดยอัตโนมัติ ประเทศที่แพ้สงครามมี
สิทธิ์เข้าเป็นสมาชิกขององค์การได้ ส่วน
สหรัฐอเมริกาแม้จะเป็นผู้ริเริ่มองค์การนี้ก็ ไม่ได้เป็นสมาชิก
เนื่องจากสภาคองเกรส ของสหรัฐอเมริกาไม่ยอมให้สัตยาบัน ซึ่งมี นโยบายไม่ยุ่งเกี่ยวและแทรกแซงทาง
การเมืองของประเทศทางยุโรป
5. วัตถุประสงค์ อ่านเพิ่มเติม
บทที่7 สิทธิมนุษยชน
2.สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
จัดแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
- สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งหมายถึงสิทธิในชีวิต เนื้อตัว ร่างกาย ในศักดิ์ ในความเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะทางกฎหมาย สิทธิที่จะได้รับความยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรม สิทธิที่จะไม่ถูกทรมาน ไม่ถูกบังคับให้สูญหาย ไม่ถูกบังคับให้เป็นทาส สามารถเดินทางย้ายถิ่น ( ในขอบเขตประเทศของตนและกลับประเทศตนเองได้ ) อย่างเสรี รวมไปถึงสิทธิในการสร้างครอบครัวที่เลือกเอง การมีชื่อ มีสถานะบุคคล รวมถึงชาติ เสรีภาพในการเลือกนับถือ ( หรือไม่นับถือ ) ศาสนา ฯลฯ ในขณะเดียวกัน มนุษย์แต่ละคนต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ซึ่งย่อมต้องการมีส่วนร่วมในสังคมการเมือง ดังนั้น สิทธิในการเลือกตั้ง การมีส่วนร่วมในทางการเมือง สิทธิในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น การพูด สิทธิในการสื่อสารและข้อมูลข้าวสาร สิทธิในการรวมกลุ่มและรวมตัวกัน
- สิทธิในทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม สิทธิพื้นฐานสำคัญไม่อาจถูกละเมิดได้คือ สิทธิที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งนั่นหมายถึงว่า แต่ละคนต้องมีงานทำและได้รับค่าจ้างที่เท่าเทียมกันในงานประเภทเดียวกัน มีสภาพการทำงานที่ปลอดภัย สามารถรวมตัวกันต่อรอง เพื่อสวัสดิภาพและสวัสดิการของตนเองและครอบครัวได้ มีปัจจัยสี่ที่พร้อมเพียง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ที่อยู่อาศัย การเข้าถึงบริการทางการแพทย์และสุขอนามัย การถือครองทรัพย์สิน ( ตราบเท่าที่ไม่เบียดเบียนและไม่ทำให้ผู้อื่นหมดทางทำมาหากิน ) การได้รับการศึกษาเท่าที่ต้องการและเท่าที่ความสามารถในการเรียนรู้จะอำนวยให้ รวมถึงสิทธิที่จะได้รับประโยชน์จากผลพวงของการพัฒนาทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งหลาย ฯลฯ
- สิทธิในการพัฒนา การได้รับประโยชน์จากการพัฒนา การมีสิ่งแวดล้อมที่ดี การที่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและรักษาดูแลสำหรับตนเองแลเพื่อชนรุ่นหลัง การดูแลรักษาศิลปวัฒนธรรม ร่วมกันในกลุ่มและชุมชน สิทธิในการกำหนดใจและอนาคตตนเอง ซึ่งหมายรวมถึง การมีสิทธิในการกำหนด แนวทางการพัฒนาประเทศและชุมชนทั้งหมดนี้ก็เพื่อไปให้ถึงสิทธิอีกอย่างหนึ่งคือ สิทธิที่จะมีสันติภาพและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
บทที่7 สิทธิมนุษยชน
สิทธิมนุษยชน เป็นหลักทางศีลธรรมแจกแจงมาตรฐานบางอย่างของพฤติกรรมมนุษย์
และได้รับการคุ้มครองเป็นสิทธิตามกฎหมายเป็นปกติในกฎหมายระดับชาติและนานาชาติ
สิทธิเหล่านี้ "เข้าใจทั่วไปว่าเป็นสิทธิมูลฐานอันไม่โอนให้กันได้ซึ่งบุคคลมีสิทธิในตัวเองเพียงเพราะเธอหรือเขาเป็นมนุษย์"
ฉะนั้น จึงเข้าใจว่าสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งสากล (มีผลทุกที่) และเสมอภาค
(เท่าเทียมสำหรับทุกคน) ลัทธิสิทธิมนุษยชนมีอิทธิพลอย่างสูงในกฎหมายระหว่างประเทศ
สถาบันระดับโลกและภูมิภาค
สิทธิ
หมายถึง สิทธิตามกฎหมายหรือศีลธรรม ที่จะกระทำหรือไม่กระทำบางอย่าง หรือ
ที่จะได้รับ หรือ ไม่ได้รับ บางอย่างในสังคมอารยะ (Civil Society) สิทธิทำหน้าที่เหมือนกฎในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของบุคคลหนึ่งบุคคลใดควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมเช่นกัน.
เสรีภาพ
คื อ่านเพิ่มเติม
บทที่6กฎหมาย
2.ข้อตกลงระหว่างประเทศ
คำนิยามของ ข้อตกลงระหว่างประเทศ กับ
สนธิสัญญา
( ตอนที่
1 )
คำนิยามของคำว่า
ข้อตกลงระหว่างประเทศ
กับ
สนธิสัญญา
ทั้งสองคำนี้มีความหมายคล้ายคลึงกัน
แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อแตกต่างกันอยู่
ในประเด็นข้อกฎหมายต่างๆ
ดังจะกล่าวต่อไปนี้
1.1 คำนิยามข้อตกลงระหว่างประเทศ
บ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศที่เกิดจากข้อตกลง
ก็คือบ่อเกิดที่เกิดจาก
ข้อตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งหมายถึง การกระทำทางกฎหมายหลายฝ่ายที่ตกลงทำกันขึ้นระหว่างบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศและอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
บทที่6กฎหมาย
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเอง ครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติ
1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย
2. กฎหมายแพ่งที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว
3. กำหมายแพ่งที่เกี่ยวกับนิติกรรมสัญญา
4. กฎหมายอาญา
5. โมฆกรรมและโมฆียกรรม
6. กฎหมายอื่นที่สำคัญ
7. ข้อตกลงระหว่างประเทศ อ่านเพิ่มเติม
บทที่5การปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การจัดตั้งองค์กรทางการเมืองสืบเนื่องมาจากการที่มนุษย์รวมตัวกันขึ้นเป็นสังคม
จุดเริ่มต้นของการรวมตัวเป็นสังคม คือ การรวมกลุ่มขึ้นเป็นครอบครัว
จากกลุ่มครอบครัวขยายเป็นเผ่าชน หรือเป็นรูปแบบเหล่ากอ หรือโคตรตระกูล
จากนั้นกลายเป็นนครรัฐ จากนครรัฐแปรสภาพเป็นจักรวรรดิ
ซึ่งมีระยะเวลาคาบเกี่ยวกับนครรัฐ จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง มีการจัดองค์กรทางการเมืองเป็นรัฐประชาชาติ หรือ “รัฐ” “ชาติ” หรือ “ประเทศ” ซึ่งเป็นการจัดรูปแบบองค์กรทางการเมืองในปัจจุบัน
และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
ศัพท์ทั้ง 3 สามารถใช้แทนกันได้ บางครั้งเรียก “รัฐ” ว่า “ประเทศ” หรือ “ชาติ” เช่น ชาติไทย หรือประเทศไทย
เป็นต้น ส่วนที่ใช้ความหมายเฉพาะแต่ละศัพท์ ซึ่งมีความโน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่ง
อาจมีความแตกต่างกัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)